วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ดอยอินทนนท์




ข้อมูลทั่วไป:

กล่าวถึงจังหวัดเชียงใหม่ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ข้านชื่อและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่ง ก็คือ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย จะประกอบด้วยภูเขาสูงต่ำสลับซับซ้อน ลักษณะส่วนใหญ่ของภูเขาจะเป็นหินแกรนิต พื้นที่เป็นลานหินถ้ำมีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางภาคตะวันออกและแม่น้ำแจ่มไหลผ่านทางด้านตะวันตก อากาศหนาวเย็น ดอกไม้เมืองหนาว ชาวเขาบนยอดดอยและวิวทิวทัศน์อันงดงาม คือ สีสันที่มีชีวิตชีวาของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้

ประวัติความเป็นมา

แต่เดิมนั้นดอยอินทนนท์มีชื่อว่า ดอยอ่างกา ในสมัยพระเจ้าอินทรวิชยานนท์เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ทรงรักและหวงแหนป่าแห่งนี้เป็นอย่างมาก ทรงรับสั่งว่าหากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ให้นำอัฐส่วนหนึ่งไปบรรจุไว้บนยอดดอยด้วย ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ดอยอินทนนท์ ตามพระนามของผู้ครองนครนั้น และเมื่อขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง จะเห็นสถูปบรรจุพระอัฐของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ประดิษฐานอยู่

ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ

สภาพภูมิประเทศ : ประกอบด้วยภูเขาสูงต่ำสลับซับซ้อน ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร โดยที่ป่าอินทนนท์เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงซึ่งเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล

สภาพอากาศ

เนื่องจากดอยอินทนนท์มีความสูงมากถึง 2,565 เมตร อากาศจึงหนาวเย็นตลอดปีโดยในเดือนมกราคมเป็นเดือนที่มีอากาศหนาวเย็นมากที่สุดแระประมาณ 5.5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิใกล้เคียงกับประเทศคานาดา และอุณหภูมิลดลงถึง -8 องศาเซลเซียส แต่อย่างไรก็ตามจะมีฝนตกบ้างในเดือนพฤศจิกายนและมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดเวลา

พรรณไม้และสัตว์ป่า

ป่าไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ขึ้นบนยอดดอยสูงนั้นถือเป็นมรดกที่มีค่ามากในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งประกอบด้วยป่าไม้หลายชนิด เช่น ป่าดงดิบชื้น ป่าสน ป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สัก ตะเคียน สนเขา เต็ง เหียง แดง ประดู่ รกฟ้า มะค่า เป็นต้น ดอกไม้สีสวยงามหลายชนิดที่สร้างสีสันให้กับยอดดอยอิทนนท์ไม่น้อย อันได้แก่ ฟ้ามุ่ย ช้างแดง รองเท้า

นารีและกุหลาบป่า

สำหรับสัตว์ป่ามีจำนวนมากกว่า 446 สายพันธุ์ แต่สัตว์ที่โดดเด่นของดอยอินทนนท์กลับเป็นสัตว์เล็ก ๆ เช่นเต่าหกเป็นเต่าบกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริเวณชุ่มน้ำและลำห้วยตั้งแต่ กม. 31 ใกล้กับที่ทำการอุทยานแห่งชาติจนถึงระดับความสูง 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางก็เป็นแหล่งอาศัยของกะท่าง รวมทั้งปลาค้างคาวที่พบตามสำน้ำ กม. 24-31

การดูนก

ตามลักษณะเด่นของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะมีนกนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ จากการสำรวจพบว่ามีนกถึง 364 ชนิด จากจำนวน 915 ชนิดที่พบในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตอาจจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้มีนกบางชนิดที่หาดูไม่ได้แล้งในที่แห่งอื่น เช่น นกศิวะหางสีตาล นกกระจี๊ดคอสีเทาและนกกินปลีหางยาวเขียว ชนิดย่อยดอยอ่างกา ซึ่งพบที่นี่แห่งเดียวในโลก หากมีลมาในช่วงเดือนตุลาคมป่าก็จะคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งนกอพยพและนักดูนกด้วย จุดดูนกที่น่าสนใจ เช่น บริเวณ กม. 13 ซึ่งเป็นจุดดูนกกางเขนน้ำหลังดำ นกพญาไฟคดเทา นกนางแอ่นตะโพกแดง กม. 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนองน้ำหลังบ้านไผ่ไพรวัลย์มีคนพบนกอัญชันหางดำ นกที่พบได้ยากและเป็นที่ใฝ่ฝันว่าจะได้เห็นสักครั้งของนักดูนก

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551





มาเล่นสกีและสโนว์บอร์ดที่ญี่ปุ่นกันเถอะ

ที่ญี่ปุ่นมีลานสกีและสโนว์บอร์ดตามมาตรฐานสากลมากมายหลายแห่ง มีหิมะคุณภาพดี วิวธรรมชาติที่สวยงาม มีรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวถึงสองครั้งด้วยกัน ในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา จำนวนลานสกีที่ญี่ปุ่นมีมากถึง 500 กว่าแห่ง ตั้งแต่ฮอกไกโดซึ่งเป็นภาคเหนือสุดของญี่ปุ่นจนถึงคิวชู ภาคใต้ของญี่ปุ่น และขอแนะนำเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับลานสกีทั่วประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นปริมาณหิมะ อุณหภูมิ หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจรอบข้าง เว็บไซต์ดังกล่าวคือ SnowJapan (http://www.snowjapan.com/) ท่านผู้ใจกีฬาฤดูหนาว สามารถค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ได้อย่างจุใจ ภูมิประเทศของญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีภูเขามากและหิมะอยู่มาก ทำให้กีฬาฤดูหนาวเป็นที่นิยมเสมอมา มาลองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้และสะดวกสำหรับการเล่นสกีที่ญี่ปุ่นกันดีกว่า ด้านล่างนี้เป็นเพียงบางส่วนของสถานที่แนะนำสำหรับเล่นสกีจากสกีรีสอร์ทที่มีอยู่กว่า 500 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่นจากฮอกไกโดไปจนถึงคิวชิวซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ถ้าหากต้องการหาข้อมูลตามความชอบส่วนตัวละก็สามารถคลิกเข้าไปดูตามเว็บไซต์ที่แนะนำนี้ได้
บ่อน้ำพุร้อน (Onsen)


ประเทศญี่ปุ่น มีภูเขาไฟมากมายที่ยังคุอยู่มากมายหลายลูก แม้แต่ภูเขาที่มีชื่อเสียงอย่างภูเขาฟูจิ ก็เป็นภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่จนกระทั่งยุคกลาง ด้วยเหตุนี้ จึงมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ทั่วทุกแห่งของประเทศญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบการอาบน้ำพุร้อนมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกลายเป็นวิถิชีวิตของชาวญี่ปุ่นเรื่อยมา หลายแห่งเป็นน้ำพุร้อนบริสุทธิ์ (ในบางพื้นที่เมื่อแก่นโลกเย็นตัวลง และปล่อยแก๊สและไอน้ำออกมาจนกระทั่งกลายเป็นน้ำพุร้อน)

กฏหมายว่าด้วยเรื่องสถานพักผ่อนน้ำพุร้อนบัญญัติขึ้นในปีโชวะที่ 23 ระบุไว้ว่า
1. อุณหภูมิของน้ำจะต้องสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส
2. น้ำพุร้อนจะต้องมีแร่ธาตุผสมอยู่เป็นจำนวน 1 กก.

ดังนั้น ถ้าหากแหล่งน้ำนั้นมีมาตรฐานตรงกับทั้งสองข้อ ก็ถือได้ว่าเป็นน้ำพุร้อน


สถานที่อาบน้ำพุร้อนมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแร่ธาตุในน้ำ ให้คุณสมบัติใน การรักษาต่างกัน รวมถึงสีและกลิ่น ส่วนมากน้ำพุร้อนจะมีธาตุกัมมะถัน บ่อน้ำพุร้อนมีทั้งในร่มและกลางแจ้ง แต่ละที่เล็กใหญ่ต่างกันไป บ่อกลางแจ้งบางแห่งตั้งอยู่ระหว่างภูเขา หุบเขา หรือเลียบฝั่งแม่น้ำ มีทั้งแบ่งชายหญิงและบ่อรวม
บ่ออาบน้ำประเภทอื่นๆเช่น บ่อทราย ซึ่งผู้อาบจะถูกกลบด้วยทรายร้อน บ่อโคลน และห้องอบไอน้ำ นอกจากนี้ยังมี "อะชิยุ" เป็นบ่อน้ำร้อนตื้นๆ สำหรับแช่เท้า พบได้ตามทางเดินของสปารีสอร์ทน้ำพุร้อนและสามารถแช่ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายการได้พักค้างคืนที่ เรียวกัง (ที่พักแบบญี่ปุ่น) ที่มีบริการน้ำพุร้อน ถือว่าเป็นประสบการณ์การอาบน้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการมาเยือนญี่ปุ่น โดยปกติแล้ว การมาเยือนเรียวกังที่มีบริการน้ำพุร้อนจะเริ่มจากการอาบน้ำก่อนรับประทานอาหารเย็น เป็นอาหารเย็นแบบญี่ปุ่นเต็มรูปแบบ รวมถึงอาหารขึ้นชื่อของแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ นักท่องเที่ยวส่วนมากมักจะอาบน้ำอีกครั้งก่อนเข้านอนและก่อนรับประทานอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น

ถ้าหากรู้สึกอึดอัดกับการอาบน้ำร่วมกับผู้อื่น ก็สามารถใช้บริการแบบ "คะชิคิริ" บ่ออาบน้ำส่วนตัว หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า"คะโซคุบุโระ" ซึ่งเป็นบ่ออาบน้ำสำหรับครอบครัว

การปฏิบัติระหว่างอาบน้ำพุร้อนในที่ร่ม
ก่อนอื่น ถอดเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนเสื้อและเก็บเสื้อผ้าพร้อมกับผ้าเช็ดตัวลงในตระกร้าที่จัดเตรียมให้ ตู้เก็บเสื้อผ้ามักจะเป็นตู้หยอดเหรียญ การอาบน้ำพุร้อนแบบญี่ปุ่นมักจะเปลือยจนหมด และไม่อนุญาตให้ใช้ชุดว่ายน้ำ อย่างไรก็ตาม สามารถนำผ้าผืนเล็กเข้าไปในห้องอาบน้ำได้ เพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเมื่ออาบน้ำพุร้อนกลางแจ้ง
หลังจากเข้าห้องอาบน้ำแล้ว ล้างตัวในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ให้ ปกติแล้วไม่ควรยืน จากนั้นเข้าไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน สังเกตว่าน้ำอาจจะร้อนมาก (ประมาณ 40-44 องศาเซลเซียส) ถ้าหากรู้สึกว่าร้อนเกินไป พยายามลงแช่ตัวช้าๆ และเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด หลังจากแช่น้ำซักพัก ให้ขึ้นอาบน้ำถูสบู่ เช่นเดียวกับห้องอาบน้ำแบบญี่ปุ่น ควรระวังไม่ให้สบู่ลงไปผสมกับน้ำแร่ในบ่อ ปกปิดร่างกายด้วยผ้าผืนเล็กและลงแช่น้ำแร่อีกครั้ง เมื่อแช่ตัวเสร็จเรียบร้อย ไม่ต้องล้างตัวอีกครั้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากน้ำแร่อย่างเต็มที่
ขอต้อนรับการเยือนญี่ปุ่นยามดอกซะคุระบาน



ในบรรดาฤดูกาลทั้งสี่ของญี่ปุ่นฤดูที่ชาวญี่ปุ่นปิติยินดีกันมากที่สุด คือฤดูที่ดอกซะคุระเบ่งบาน กล่าวกันว่า ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบซะคุระมาตั้งแต่ 1,300 ปีก่อนจากหลักฐานเอกสารในยุคนั้น ทำให้ทราบว่าชาวญี่ปุ่นในสมัยโบราณต่างก็หลงในความงดงามของดอกซะคุระ ในทุกๆ ปีกรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นจะพยากรณ์ช่วงเวลาที่ดอกซะคุระ ผลิดอก และประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้า ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็จะวางแผนเดินทาง ไปชมดอกซะคุระตามช่วงเวลาดังกล่าว ดอกซะคุระจะเริ่มบานจากทางภาคใต้ เรื่อยขึ้นไปทางภาคเหนือ ซึ่งแตกต่าง กันไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศใน ปีนั้นๆ ช่วงเวลาที่ระบุอยู่ในเอกสารฉบับนี้จึงเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น เนื่องจากไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ดอกซะคุระจะบานเมื่อไร ชาวญี่ปุ่นจึงต่างเฝ้ารอวันที่ ซะคุระจะผลิดอกบาน ระยะเวลาที่ดอกซะคุระบานแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ โดยทั่วไปจะบานประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากใน 1 ปี ดอกซะคุระจะบานเพียง 1 สัปดาห์ เท่านั้น จึงทำให้ดอกซะคุระกลายเป็นดอกไม้ที่ล้ำค่า แม้ในยามที่กลีบ ดอกซะคุระร่วงหล่น ผู้คนก็ได้สัมผัสถึงความงดงามที่เรียกว่า "วะบิซะบิ" (ความ งามอันแสนเศร้า) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนของชาวญี่ปุ่น และนี่คงเป็นสาเหตุที่ ทำให้ชาวญี่ปุ่นหลงใหลในความงามของดอกซะคุระตั้งแต่โบราณมาถึงแม้ว่าจะมีชื่อว่า "ซะคุระ" เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วซะคุระมีกว่า 300 สายพันธุ์ที่แตกต่างกันที่ สี รูปทรง และช่วงเวลาที่ดอกผลิบานนั้น จะแตกต่างกันไป ตามสายพันธุ์ ดอกซะคุระ ทั่วไปเป็นสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า "โซเมอิโยชิโนะ" ซึ่งมีมาก ที่สุดในญี่ปุ่น จึงถูกขยายพันธุ์ไปทั่วโลกได้ โดยฝีมือของมนุษย์ จากต้นไม้เริ่มแรก เพียงต้นเดียว จะเริ่มผลิดอก เร็วที่สุด ราวกลางเดือนมีนาคมในท้องถิ่นทางภาคใต้ สุดของญี่ปุ่น และจะผลิดอกช้าที่สุด ราวปลายเดือนพฤษภาคมใน ท้องถิ่นทางภาค เหนือสุด แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่ผลิดอกเร็วกว่าหรือช้ากว่า ดังนั้น หากจะว่าไปแล้ว เราสามารถพบเห็นซะคุระได้ ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งในญี่ปุ่น ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึง เดือนมิถุนายน ดอกซะคุระในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นก็คงผลิบาน เต็มที่ ในช่วงเวลาเดียวกับเทศกาลสงกรานต์ของไทยเมื่อถึงฤดูกาลที่ดอกซะคุระผลิบาน ชาวญี่ปุ่นจะจัดงานเทศกาลชมดอกไม้หรือ ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า "โอฮะนะมิ" พวกเขาจะปูเสื่อใต้ต้นซะคุระ ทานอาหาร อร่อยๆ และดื่มเหล้าสังสรรค์ร่วมกันอย่างครื้นเครง ซึ่งได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ราว 500 ปีก่อนถึงปัจจุบัน พอถึงเทศกาลชมดอกไม้ จะเห็น บรรดาพนักงานบริษัท และเหล่านักเรียน นักศึกษา รวมกลุ่มกับเพื่อนๆส่งเสียงดัง ครึกครื้นอยู่ใต้ต้นซะคุระ สถานที่ชมซะคุระที่แนะนำในเอกสารฉบับนี้ เป็นเพียงแค่ ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความจริงหากเข้าสู่ฤดูกาลนี้ ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปที่ไหนในญี่ปุ่น ก็สามารถชื่นชมดอกซะคุระได้ จึงขอเชิญชวนทุกท่าน ให้เดินทางไปสัมผัสบรรยากาศ ในฤดูกาลแห่งดอกซะคุระบานซึ่งสวยงามที่สุดในบรรดาฤดูทั้งสี่ของญี่ปุ่นสักครั้งหนึ่ง

ขอต้อนรับสู่ประเทศญี่ปุ่น
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมโปรดตรวจรายละเอียดในเวปไซท์



FUJI-Q HIGHLAND


รายละเอียด : เป็นสวนสนุกที่ขึ้นชื่อว่า มีเครื่องเล่นที่น่าหวาดเสียวมากมาย ใครที่ชอบรถไฟตีลังกาห้ามพลาด ตอนฤดูหนาวจะมีลานสเก็ตน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเปิดบริการด้วย
ที่ตั้ง : 5-6-1 Shin-nishihara Fuji-yoshida-shi Yamanashi-ken 403-0017
วิธีไป : นั่งรถไฟด่วนพิเศษ สายชูโอฮอนเซน จากสถานีรถไฟเจอาร์ชินจูกุ 60 นาที ลงที่สถานีเจอาร์โอซึกิ และต่อรถไฟสายฟูจิคิวโค 50 นาที ลงที่สถานีฟูจิคิวไฮแลนด์
* มีรถทัวร์ออกจากสถานีเจอาร์ชินจูกุและโยโกฮามาด้วย รายละเอียดเช็คได้จากในเว็บไซต์
เวลาบริการ : วันธรรมดา 9:00 - 17:00, วันเสาร์ 9:00 - 20:00
วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ 9:00 - 18:00
ค่าเข้าชม : ฟรีพาส ผู้ใหญ่ 4800 เยน เด็กมัธยม 4300 เยน เด็ก 3500 เยน
*บัตรเข้าชมมีหลายประเภท เช็ครายละเอียดได้จากในเว็บไซต์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : TEL +81-555-23-2111






ไปปีนภูเขาฟูจิ แล้วเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวมากมายรอบ ๆ ภูเขาฟูจิ



ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น รอบๆ ภูเขาเต็มไปด้วยธรรชาติอันงดงาม และเป็นอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกะเนอิซึ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยามานากาโกะ คาวากุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจินโกะ ไซโก้ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยามานากะโกะ คาวากุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ

ภูเขาฟูจิมีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฎอยู่ในทังขะ หรือบทกลอนญี่ปุ่นหรือ อุคิโยเอะ หรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า ชื่อนักซูโม่ และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่าฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้ เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้

ในช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ของทุกปี เป็นช่วงที่ภูเขาฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปปีน ทางขึ้นก็มีหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นคาวากุจิโกะกุจิ ฟูจิโนะมิยะกุจิ สุบาชิริกุจิ โกะเตนบะกุจิ เป็นต้น ใครที่ชอบปีนเขาก็ลองขึ้นดู ภูเขาฟูจิมีความสูง 3776 เมตร ถ้าเริ่มเดินขึ้นจาก โกะโกะเม ถึงยอดเขา จะใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง โดยเฉลี่ย และเวลาลงก็จะใช้เวลา 4 ชั่วโมง แต่ใครที่สนใจอยากจะปีนเขาฟูจิ ต้องเตรียมตัวและเครื่องมือให้พร้อม
ก่อน